Monday, March 29, 2010

คนที่ได้รับการศึกษาที่ดี

    คนที่ได้รับการศึกษาที่ดี เป็นสัญญลักษณ์ของคนที่มีสติปัญญาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ได้รับการศึกษามาดีหรือจบการศึกษาสูงๆจะเป็นคนที่ดีมีคุณธรรมกันทั้งหมด ในทางตรงกันข้ามคนที่ได้รับการศึกษามาน้อยกลับมาความจริงใจและมีคุณธรรมสูงกว่าด้วยซ้ำ ความหมายก็คือบางคนมีความรู้กลับแต่นำไปใช้ในทางที่ผิดหาช่องวางเพื่อเอาเปรียบผู้ที่ด้อยกว่าหรือยืนอยู่ผิดฝั่งจนนำความรู้ความสามารถไปใช้ในทางที่ผิดสร้างความเดือนร้อนวุ่นวายได้ เพราะฉะนั้นทำอย่างไรเราจึงจะสามารถสร้างคุณธรรมและจริยธรรมให้กับคนที่มีการศึกษา เรื่องนี้คงจะต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น


  • ครอบครัว
  • สังคมเพื่อนฝูงรอบข้าง
  • ทัศนคติของพ่อแม่ในการอบรมเลี้ยงดู
  • โรงเรียนและคุณครูในวัยเด็ก
    แต่ทุกปัญหาแก้ไขได้ถ้าตั้งใจ ยิ่งมีการศึกษาสูงแล้วก็น่าที่จะยิ่งเข้าใจอะไรได้ง่ายกว่าคนทั่วๆไป ขอให้มีสติยั้งคิดและทบทวนว่าสิ่งที่ท่านจะทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง คิดให้รอบด้านเปิดใจรับฟังข้อมูลใหม่ๆ ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
   

Wednesday, March 24, 2010

มนุษย์ในยุคปัจจุบัน

     มนุษย์นั้นเกิดขึ้นมาหลายหมื่นปีแล้ว ช่วงเวลาต่างๆที่มนุษย์ผ่านมานั้นมีทั้งดีและไม่ดี ทำให้มนุษย์พัฒนามาจนถึงปัจจุบัน หลายๆคนอาจจะคิดว่าแล้วมันเกี่ยวอะไรกับปัจจุบันด้วยหล่ะ คุณลองมองย้อนกลับไปยังอดีต เมื่อ 50-70 ปีที่ผ่านมาว่า เราผ่านอะไรกันมาบ้าง ถ้าคุณได้ศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ คุณจะพบว่า ช่วง 50 ปีที่แล้วนั้นพวกเรายังอยู่ในยุคของสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 คนที่เกิดขึ้นมาหรือมีช่วงชีวิตในขณะเวลานั้นคงจะต้องได้รับความยากลำบากในการใช้ชวิตอย่างมาก มันก็เหมือนกับคนสองกลุ่มที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกันและจะต้องรบพุ่งเพื่อชิงความถูกต้องที่คิดว่าตัวเองทำถูกต้อง โดยไม่คิดถึงความเดือดร้อนของคนอื่นๆ แต่อันนั้นมันเป็นระดับโลกนับประสาอะไรกับอีแค่คนในประเทศหนึ่งๆที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกันเอง
     หลังจากยุคสงครามพวกเราก็เข้าสู่ยุคของอุตสาหกรรม มีการผลิตเครื่องจักร,อุปกรณ์ไฟฟ้าและพาหนะต่างๆ ในการสร้างผลผลิตจำนวนมากเพือใช้ในการพัฒนาปรับปรุงประเทศของตัวเองหลังจากสงคราม จึงเกิดคำหนึ่งที่เรียกว่า เบบี้บูมเมอร์ คือผลผลิตและเกิดขึ้นของคนจำนวนมากหลังจากภาวะสงครามเพราะมีการเสียชีวิตของคนจำนวนมาก
     และหลังจากนั้นก็เกิดยุคของข้อมูลข่าวสารหรือโลกาภิวัฒน์ อันเนื่องมาจากการเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์,คอมพิวเตอร์และการสื่อสาร ทำให้โลกแคบลงไปถนัดตา สิ่งของและเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆได้ถูกสร้างและผลิตขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ จนเกินความจำเป็น ผมขอยกตัวอย่าง
  • เครื่องคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันนี้คุณจะเห็นได้ว่า ราคาของเครื่องถูกลงอย่างมากแต่ประสิทธิภาพกลับสูงขึ้นจนเหลือเฟือ ขนาดพื้นที่ในการเก็บข้อมูลก็มากจนไม่รู้จะเก็บอะไรแล้ว
  • ระบบการติดต่อสื่อสารของมนุษย์ ก็มีทางเลือกมากขึ้นจนสามารถรู้ได้แม้กระทั่งคุณเดินอยู่ตรงไหนของโลก
  • ระบบโทรทัศน์ก็มีการพัฒนามากจนมีระบบ HD (High Definition) ความละเอียดสูงมองจนทะลุรูขุมขน ขนาดจอก็ใหญ่จนจะคับบ้านแล้ว (ก็ไม่รู้ว่ามันจะต้องดูให้ได้ขนาดนั้นเพื่ออะไรฟ่ะ)
   ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมไม่ได้พูดถึง คุณลองคิดดูแล้วกันว่าอะไรที่คุณรู้สึกว่าเรายังไม่มีเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ในยุคนี้ เรามีแต่ความต้องการอยากได้อยากมี ใช้ทรัพยากรของโลกอย่างไม่เคยกลัวว่าจะหมด แข่งกันวัดความเจริญและความสุขด้วยตัวเลขดัชนีต่างๆ เช่น หุ้น GDP กำไรขาดทุน จนลืมไปว่าพวกเราเกิดมาเพื่อทำอะไรกัน แต่โลกนี้ก็คือธรรมชาติ อะไรที่มันไม่สมดุลย์ก็จะต้องถูกปรับให้มันสมดุลย์ เช่น
  • มนุษย์ล้นโลกแย่งกันกินแย่งกันใช้ ก็ทำให้เกิดแผ่นดินไหวหรือซึนามิหรือโลกระบาด เพื่อให้มนุษย์เสียชีวิตคราวละมากๆ
  • ทำลายธรรมชาติตัดไม้ทำลายป่า ก็ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก โลกร้อน ขาดแคลนน้ำ คาดว่าจะเกิดสงครามแย่งน้ำกันอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้นี้ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมน้ำมันแพงกว่าน้ำทั้งๆ ที่มนุษย์ต้องกินน้ำ สงสัยเราคงต้องคิดใหม่กันแล้ว :D
      ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ดีจังที่เราได้เกิดมาในยุคนี้ เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างมากในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา และก็มั่นใจว่าเราจะยังได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้นในยุคของเราซึ่งในศาสนาพุทธเรียกว่า กลียุค คุณลองไปคิดดูว่าช่วงชีวิตของคุณที่เหลืออยู่จะทำอะไรให้เกิดประโยชน์คนรุ่นหลัง หรือนั่งรอคอยวันสุดท้ายของโลกหายใจทิ้งไปวันๆ แล้วกอบโกยทุกๆอย่างจากโลกนี้ไป.

Wednesday, March 17, 2010

สติ คืออะไร

   "สติ" คืออะไรนั้น หลายๆคนคงจะรู้มาบ้างไม่มากก็น้อย เราคงคุ้นเคยเพราะเราได้อยู่ในพระพุทธศาสนา บางคนอาจจะคิดถึงการบวชเป็นพระ การนั่งสมาธิ การฝึกวิปัสนากรรมฐาน  การเดินจงกรม อื่นๆ อีกมากมาย นั่นก็เป็นวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้เราสามารถฝึกฝนจิตใจเราให้อยู่กับตัวเรา สามารถรู้เท่าทันความรู้นึกนึกคิด รู้จักผิดชอบชั่วดี ระงับสิ่งที่ต่างๆที่ไม่ดีที่กำลังจะเกิดขึ้นให้ดับไปอย่างรวดเร็ว การมีสติยังช่วยให้เรายั้งคิดยั้งทำเรื่องต่างๆทั้งดีและไม่ดีว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรทำ โดยเฉพาะการคิดไตร่ตรองก่อนที่จะลงมือทำสิ่งต่างๆในชีวิตให้ดำเนินไปอย่างถูกต้องและมีความผิดพลาดให้นอยที่สุด เราจะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลังเราว่าไม่น่าพูดแบบนั้นหรือทำแบบนั้นออกไปเลย เพราะเราคงไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตที่ผ่านมาแล้วได้
    สำหรับผมวิธีในการฝึกสตินั้นก็ไม่ได้ใช้วิธีการที่ซับซ้อนหรือจะต้องพาตัวเองไปหาบุคคลหรือไปยังสถานทีๆเอื้ออำนวยให้เกิดการฝึกเช่น วัดหรือสถานปฏิบัติธรรมที่เป็นที่รู้จักเลย ในทางตรงกันข้ามผมกลับสามารถใช้ทุกๆ สถานที่ๆผมเดินทางหรือที่บ้านก็สามารถที่จะฝึกสติได้ตลอดเวลา ผมจะลองยกตัวอย่างวิธีที่ผมใช้ให้ลองเอาไปฝึกกันดูบ้าง
   เนื่องจากผมจะต้องเดินทางไปทำงานในทุกๆเช้าอยู่แล้ว การตื่นเช้าจึงเป็นนิสัยปรกติของคนทั่วๆไปที่อาศัยและใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ เมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แย่งกันกินแย่งกันใช้ ต่างๆคนต่างมีหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละคน ชีวิตซึ่งหลายๆคนรวมถึงผมก็คงรู้ว่ามันช่างเร่งรีบ สับสนวุ่นวายขนาดไหนในตอนเช้า ผมไม่ได้ขับรถไปทำงาน(ก็ไม่มีไง :D) บังเอิญสถานที่ทำงานของผมนั้นสามารถเดินทางได้ด้วยระบบขนส่งมวลชนต่างๆ ที่มีให้บริการอยู่แล้ว รถเมล์ รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน เวลาส่วนหนึ่งจึงต้องอยู่อยู่บนนั้นอย่างน้อยก็วันละเกือบๆ 2 ชั่วโมง ผมเลือกที่จะโดยสารด้วยรถเมล์ปรับอากาศ เพราะสะดวกและเย็นสบายดีในตอนเช้าก็มีโอกาศได้นั่งบ้าง ในขณะนั่งรถไปทำงานตอนเช้านั้นผมก็จะนั่งหลับตาหรือหลับไปเลยก็ได้ ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น แต่รู้ตัวตลอดน่ะ ไม่ใช่นั่งหัวโขกกับคนข้างๆ การหลับตานั้นช่วยให้เราไม่ต้องรับรู้สิ่งที่เข้ามากระทบ เช่น ผู้คนที่เข้ามาเบียดเสียดกัน รถติดข้างนอก คนสวยคนหล่อที่อาจจะทำให้เราคิดไปไกลเกินฝันเพ้อเจ้อ :D จิตใจเราก็จะสงบไปโดยปริยาย เมื่อคุณลืมตาขึ้นคุณจะสามารถรับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่างในตัวคุณว่า มันทำให้คุณมีสติในการก้าวเดินต่อไปหลังจากลงรถโดยสาร เพราะคุณสามารถรู้ตัวตลอดขณะนั่งรถมา
 * ผมไม่เลือกที่จะฟังเพลงขณะเดินทาง หลายๆ คนเมื่อขึ้นมาบนรถก็จะเสียบหูฟังแล้วก็เปิดเพลงที่ชอบ ดัง แล้วก็ชิลล์ๆ ไป ผมเองก็เคยทำน่ะ แต่ตอนหลังเลิกแล้วเพราะรู้มาว่ามันไม่ดีกับระบบการได้ยิน ในการฟังเพลงก็ยังทำให้เราปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับเสียงเพลงและจินตนาการ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าคุณฟังเพลงอะไรอีก นั่นยิ่งทำให้สติของคุณไม่อยู่กับตัวเข้าไปใหญ่

To be continuous...

Monday, March 15, 2010

จักรวารของเรา - Our Universe II

   จากบทความที่แล้ว เราก็ได้เห็นแล้วว่าสิ่งที่มนุษย์ทำการค้นหาจากนอกโลกนั้น เราก็ยังไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่นอกโลก หรือสถานที่ๆจะมีสิ่งมีชีวิตใกล้เคียงมนุษย์ จะมีก็แต่เพียงรูปแบบของการระเบิดต่างๆ ที่มีแสงและสีที่ยังไม่มีมนุษย์คนใดอธิบายได้ว่ามันคืออะไร ในขณะเดียวกันก็ยังไม่มีใครเดินทางเข้าไปถึง
 


     หรือหว๋ารูปที่พวกเราได้เห็นนี้คือ สถานที่ๆอยู่อาศัยของสสารบางอย่างที่มีพลังงานบางอย่างแต่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาปล่าว เพราะเรามองด้วยสายตาของมนุษย์ ถ้าอาศัยจินตนาการแบบเบลอๆ ของผม หรือว่าสิ่งที่เราเห็นจะเป็นสถานที่ๆพระพุทธเจ้าท่านเคยกล่าวถึงในเรื่องของสวรรค์ชั้นต่างๆ ที่มีแสงสว่างสุกสกาวที่เรียกชื่อต่างๆ กันออกไปเช่น สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลองหัดใช้จิตนาการแบบไร้ขอบเขต ไม่มีเขตกั้นของวิทยาศาสตร์มาเป็นตัววัด ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วปล่อยใจให้ล่องลอยไปบ้าง...
   โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านบทความชิ้นนี้.. :D

Thursday, March 11, 2010

Linux - ลีนุกซ์ คืออะไร part III

   หลังจากที่เราก็ได้รู้ไปแล้วว่าลีนุกซ์มันคืออะไร ต่อไปเราจะมาดูว่าแล้วมันจะเอามาใช้งานอย่างไร (นึกไม่ออกง่ะ) ก็ขอให้คุณลองนึกถึงเครื่อง Apple Mac, MacBook Air ที่คุณได้มีโอกาศเข้าไปเล่นที่ Istudio ดูบ้างแล้วคุณจะพอเห็นภาพ
   มันก็จะมีหน้าตาและวิธีการใช้งานที่ต่างออกไปจาก WindowsXP(R), Vista , 7 ไง เริ่มจากระบบเมนูในการเรียกใช้งานโปรแกรมต่างๆ ก็จะเห็นว่าแตกต่างจากกัน วิธีการเข้าใช้งานโปรแกรมก็ต่างกัน ที่สำคัญมากๆ คือโปรแกรมบนเครื่อง Apple Mac ส่วนใหญ่เราก็จะไม่เห็นหรือเคยได้ใช้บนเครื่อง PC ที่ทำงานด้วย Windows เลย (อาจจะมีบางโปรแกรมที่ทำงานได้ทั้งสองระบบ) เรามาดูหน้าตาหรือที่เราเรียกว่ากราฟฟิคยูซเซอร์อินเตอร์เฟส GUI(Graphic User Interface) ของแต่ละระบบกันดู

Microsoft Windows7(R)


Apple Mac

      คุณพอจะมองเห็นภาพแล้วใช่หม่ะว่าแต่ละระบบนั้นมีหน้าตาหรือวิธีการใช้งานเบื้องต้นเป็นอย่างไร จริงๆ แล้วเจ้าโปรแกรมที่ทำงานทั้งหมดนี้มันก็คือ Operating System (OS) ที่ผมเคยได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้แล้ว มันก็เป็นเพียงแค่วิธีการหรือรูปภาพหน้าตาที่เอาไว้ให้ผู้ใช้ได้ติดต่อสั่งงานเจ้าคอมพิวเตอร์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของงาน ( จดหมาย, รายงาน, ตารางคำนวณ, รูปภาพ, ดูหนังฟังเพลง ) ออกไปก็เท่านั้น คราวนี้อ้าวแล้วลีนุกส์ไปไหนซะหล่ะ คุยมาตั้งนานไม่เห็นโชว์เลย :D อ่ะเป็นคำถามที่ดี บังเอิญผมพยายามหารูปหน้าจอของลีนุกส์ที่บ่งบอกความเป็นลีนุกส์นั้นยากมากๆๆๆๆ เพราะถ้าอยากให้มันมีหน้าตาเหมือนใครมันก็ทำได้ไง งงหม่ะ :D ก็อย่างที่บอกว่าพวกนี้มันก็คือโปรแกรมหนึ่งเท่านั้น ซึ่งลีนุกส์มันเป็นของฟรีที่ใครๆเค้าก็สามารถนำไปใช้และพัฒนาได้จึงมีคนหลายๆกลุ่มซึ่งมีความคิดแตกต่างกันออกไปได้พัฒนารูปแบบและวิธีการใช้งานลีนุกส์ที่แตกต่างกันออกไป เช่นบางกลุ่มก็จะฉีกแนวแบบว่าอาร์ตตัวพ่อล้ำกว่า WindowsXP เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วจนเป็นที่มาของรูปแบบที่เค้าเรียกว่า Looking Glass หรือ Transparent User Interface ในขณะที่บางกลุ่มก็มองที่ความคุ้นเคยของกลุ่มคนใช้เพราะว่าเคยใช้ WindowsXP มาก่อนจึงเป็นที่มาของการทำหน้าตาให้เหมือน WindowsXP ให้มากที่สุดท่าที่จะทำได้เพื่อที่ผู้ใช้จะสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด บางกลุ่มก็จะขัดแย้งโดยให้ความเห็นว่าไม่เห็นจะต้องตาม Windows เลย (เดี๋ยวก็โดนเรื่องลิขสิทธิ์หรอก) แต่ก็ยังยึดๆ แนวทางการใช้งานเบื้องต้นไว้

Linux
       อ่ะในที่สุดก็ได้แล้ว ผมคิดว่าอันนี้น่าจะใกล้เคียงที่สุดแล้วน่ะ ของความเป็นลีนุกส์น่ะ :D


Wednesday, March 10, 2010

แนะนำหนังดีให้แง่คิดเดือนนี้

"The English Patient" เป็นหนังเก่าเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เป็นหนังที่พูดเรื่องของความรักของผู้ชายคนหนึ่งที่ไปหลงรักกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มีสามีแล้ว ทั้งสองมีความรู้สึกรักตั้งแต่แรกพบทำให้ทั้งสองหาโอกาศที่จะได้อยู่ร่วมกัน จนวันหนึ่งสามีได้รู้ความจริงหลังจากที่ได้สะกดลอยตามไป ตัวละครในเรื่องมีหลากหลายตัวที่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องนี้ ทำให้เราอาจจะได้แง่คิดว่าบางครั้งความรักก็ไม่สามารถที่ลงท้ายด้วยความสุขเสมอไป







"The Gataway" เป็นหนังเก่าเช่นเคย หนังพูดถึงหนุ่มสาวที่ทำงานในด้านมืดในการหาเงิน วันนึงทั้งคู่ตัดสินใจที่จะทำงานสุดท้ายแต่พลาดแฟนหนุ่มถูกจับเข้าห้องขัง แฟนสาวจึงต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้แฟนหนุ่มกลับออกมาให้ได้ เธอจึงทำบางอย่างซึ่งเป็นคุณคิดว่าคุณจะรับมันได้หรือไม่? เนื้อเรื่องของหนังสนุกมาก ทั้งฉากต่อสู้หรือฉากรัก :) ลองไปหามาดูกันน่ะ









"A Few Good Men" เป็นหนังเก๋าเก่า ที่น่าสนใจเรื่องนึง หนังพูดถึงเรื่องนายทหารหนุ่มทางกฎหมายคนหนึ่ง (ทอม ครูซ) ได้เข้ามารับหน้าที่ในการตัดสินและหาข้อมูลเกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยของทหารซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องแต่เค้าต้องมาเจอกับกระดูกท้อนใหญ่เข้าอย่างจัง เค้าได้สาวสวยอย่าง (เดมมี มัวร์)มาเป็นผู้ช่วย บทสนทนาบางช่วงอาจจะทำให้คุณสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอันแรงกล้าที่เค้าพยายามต่อสู้เพื่อความถูกต้อง อาจจะได้แรงบันดาลใจว่า บางครั้งการต่อสู้เพื่อความถูกต้องกับคนที่มีอำนาจอาจจะไม่ง่ายนักจึงจำเป็นที่คุณจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วขยี้มันให้แบนไปเลย :D

หนังสือแนะนำเดือนนี้

"วาทะดังตฤณ ฉบับ ความรักหลากสี" เป็นหนังสือที่พูดถึงความรักกับความรู้สึกต่างๆ ที่มีและเปรียบเทียบความเป็นจริงกับหลักการทางพุทธศาสนาเรื่องกรรมดีและกรรมชั่ว หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบคุณอาจจะได้นิยามความรักแบบใหม่ที่ไม่เคยได้รับรู้มาก่อน มีเนื้อหาออนไลด์ให้ อ่านฟรี








"90 วัน (กับเป้าหมาย ที่มากกว่าคำว่าลดน้ำหนัก)" เป็นหนังสือที่ผู้ชายที่มีน้ำหนักตัวที่อวบระยะสุดท้ายก่อนจะระเบิด :D ควรจะนำมาอ่านและเป็นแรงบันดาลใจในการที่จะมีรูปร่างและสุขภาพที่ดี ผู้แต่งนำประสพการณ์ของตัวเองในอดีตซึ่งมีขนาดน้ำหนักตัวที่สูงมาก จนคุณไม่อยากจะเชื่อว่าเค้าจะสามารถกลับมามีรูปร่างดังที่เห็น (นายแบบชัดๆ) ผู้ชายส่วนใหญ่ที่อ้วนมากๆ จากที่เคยมีรูปร่างดีส่วนใหญ่จะมีปัญหามากจากเรื่องผู้หญิง ความรัก ประมาณว่าไม่สมหวังหรือผิดหวังอะไรซักอย่างแล้วเครียด การกินการดื่มจึงเป็นอีกหนึ่งทางออกในการหาความสุขให้กับตัวเอง เป็นกำลังใจให้ครับ

Sunday, March 7, 2010

ภาษิต คติธรรม คำสอน เดือนนี้

ระยะทางพิสูจน์กำลังม้า กาลเวลาพิสูจน์จิตใจคน


              อย่ารังแกคนยากจน อย่ายิ่งยะโสในความมั่งมี


อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว การเห็นแก่ตนย่อมประสบภัยอันตราย


              ยามมีอำนาจอย่าเหลิง ยามมีสุขก็อย่าหลงระเริง


ผู้รอบรู้มักถ่อมตัว ผู้โง่เขลามักหยิ่งยะโส

คนฉลาด?

     คนฉลาด ชื่อก็บอกอยู่แล้วน่ะว่าคนมันฉลาดแล้วฉลาดอย่างไร? :D หลายๆ คนอาจจะคิดว่าคนฉลาดก็ดีแล้วนิ๊ เค้าคงเก่งน่าดู, IQ คงจะสูงมากๆ อันนั้นก็ถูกน่ะส่วนใหญ่เวลาเราพูดถึงคนฉลาดเราก็มักจะมองหรือมุ่งตรงไปที่เรื่องของสมองที่ใช้ในการคิดคำนวณ ทำข้อสอบได้คะแนนสูงๆ มากกว่าคนทั่วๆไป แต่ความฉลาดที่ผมจะพูดถึงวันนี้จะไม่เกี่ยวกับสมองซีกซ้ายแต่จะพูดถึงสมองซีกขวา นั่นคือความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) บางคนอาจจะคิดว่าแล้วมันเป็นไงหล่ะ หรืออาจจะบอกว่าก็เห็นหนังสือหลายๆเล่มก็พูดถึงอยู่แล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเลย ส่วนใหญ่ก็ให้ทำข้อสอบแบบว่าแบบทดสอบทางด้านอารมณ์
       ความฉลาดทางอารมณ์นั้นจริงๆก็คือ คนที่มีความสามารถเข้าใจ, รู้เท่าทัน, แก้ไขปัญหาของอารมณ์หรือความรู้สึกที่เข้ามากระทบจากภายในตัวเองและจากภายนอกให้มีความสุขและสงบ แล้วมันคืออะไรหล่ะ? ผมจะขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
การแก้ไขปัญหาทาง IQ
       คุณกำลังจะขับรถจากบ้านไปถึงที่ทำงานเป็นระยะ 12 กิโลเมตร เมื่อคุณขับไปได้ 4 กิโลเมตร คุณนึกขึ้นได้ว่าลืมของจึงต้องกลับมาเอาของที่บ้าน ปรากฏว่าคุณขับรถเลยบ้านไป 2 กิโลเมตร ถามว่าตอนนี้คุณอยู่ห่างจากที่ทำงานกี่กิโลเมตร?
คำตอบคือ 14 กิโลเมตร
การแก้ไขปัญหาทาง EQ
       คุณกำลังทำงานที่มีความสำคัญและส่งผลกระทบกับคนจำนวนมาก ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ ในขณะเดียวกันก็มีคนที่ได้รับผลกระทบนั้นได้เข้ามาหาคุณและได้สอบถามว่าเมื่อไหร่จะแก้ไขเสร็จเพราะเค้ามีงานด่วนที่สำคัญมากต้องทำให้เสร็จภายใน 1 ชั่วโมงนี้ คุณจะตอบกลับเค้าไปอย่างไร หรือจะทำอย่างไร?
คำตอบคือ คำตอบของ EQ นั้นไม่มีคำตอบที่ตายตัวน่ะครับเพราะมันเป็นเรื่องของอารมณ์และความรู้สึก บางคนอาจจะกดดันจากปัญหาที่เกิดขึ้นจนไม่สามารถทำอะไรได้เลย ในขณะที่บางคนอาจจะตอบกลับไปว่า ขอเวลาอีกนิดครับตอนนี้กำลังพยายามแก้ไขปัญหาอย่างเร็วที่สุดครับ บางคนอาจจะสวนกลับไปว่ามันแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะว่าปัญหานี้เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลยเพราะไม่ใช่ปัญหาของเรา

จากคำตอบของ EQ จะเห็นได้ว่ามันมีความไปได้ที่คำตอบของปัญหานั้นๆ มีความหลากหลายแต่สิ่งที่สำคัญคือ เราจะจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกของเราและคนอื่นๆ ให้อยู่ในความสงบและพอใจของทั้งสองฝ่ายได้อย่างไร ถ้าเราสามารถจัดการปัญหานี้ให้มีความเรียบร้อยและได้รับความพอใจของทั้งสองฝ่ายนั่นแสดงว่า เราสามารถจัดการกับความรู้สึกทางอารมณ์ของเราและคนอื่นได้

คุณหล่ะ คิดว่าจะตอบอย่างไร

Tuesday, March 2, 2010

คนจนกับคนรวย - What's a difference?

    คนจนกับคนรวยแตกต่างกันตรงไหน? เคยมีคนสังเกตุหรือไม่ว่ามนุษย์โลกที่เกิดมานี้มีจำนวนนับหมื่นนับล้านๆ คน ทำไมจึงมีความแตกต่างกันทางด้านความเป็นอยู่ คุณภาพชีวิต คุณภาพของสังคมที่เค้าอาศัยอยุ่ หรือแม้แต่ความคิดในการทำงาน
    บางคนอาจจะเถียงว่าก็ไม่เห็นจำเป็นต้องรวยเลยแค่มีชีวิตพอเพียงก็พอแล้ว นั่นอาจจะเป็นแค่คำข้อแก้ตัวของใครบางคนที่ไม่สามารถที่จะทำให้ตัวเองมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นหรืออาจจะเป็นเพราะว่าเค้าเห็นคนรวยส่วนมากไม่ค่อยจะมีความสุขหรืออาจจะเป็นคนไม่ดีที่ชอบเอารัดเอาเปรียบคนจนที่ด้อยกว่าก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใดๆก็แล้วแต่ การมีทรัพย์อย่างพอเพียงหรือมากจนเหลือที่จะเอาไปแบ่งปันให้กับคนอื่นๆที่เค้าไม่มีแม้แต่จะใช้ในการดำรงชีวิตประจำ เราคงไม่ต้องมองไกลออกไปภายนอกหรือประเทศอื่นๆ ที่กำลังได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือแม้แต่ความยากจนขัดสนในประเทศซึ่งอาจจะไม่มีทรัพย์พยากรทางธรรมชาติอย่างเพียงพอในการที่จะมีเพียงปัจจัยสี่ ที่อยู่อาศัย อาหาร เสื้อผ้า และ ยารักษาโลก หรือแม้แต่น้ำดื่มสะอาดๆ เรามาดูแลคนในประเทศที่อยู่ใกล้ๆตัวเราดีกว่าไหม

    หลายคนอาจจะบอกว่าก็เราไม่ได้เกิดมารวยนิ๊หรือว่าชาติที่แล้วไม่ได้ทำบุญมาดีพอ บางส่วนอาจจะถูกเราทุกๆคนคงจะเลือกเกิดไม่ได้จริงๆ แต่เราก็สามารถที่จะเลือกเดินชีวิตของเราได้ แม้ว่าตอนนี้คุณอาจจะยังไม่มีกำลังเพียงพอที่จะคิดหรือทำอะไรบางอย่างในขณะนี้ แต่ขอให้คิดเสมออยู่ในจิตใต้สำนึกว่า วันหนึ่งเรา
จะต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้ให้จงได้และตั้งใจทำงานหาทรัพย์มาเป็นเครื่องเลี้ยงชีพให้พอเพียง บางคนอาจจะบอกว่าตัวเองนั้นมีภาระหน้าที่ต้องคอยสนับสนุนหรือดูแลคนในครอบครัวอีกหลายชีวิต แต่นั่นก็ยิ่งเป็นแรงขับเคลื่อนให้ชีวิตของคุณมีพลังในการเดินไปในแต่ละวันและยังทำให้มันมีคุณค่าสูงสุดในการทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ผมมั่นใจว่าคนที่ได้ทำดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้นในอนาคตต่อไปข้างหน้าเค้าจะต้องเป็นคนที่ประสพความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน "ไม่มีใครได้ทุกอย่างที่ต้องการและก็ไม่มีอะไรได้มาอย่างง่ายในชีวิตคนเรา" ขอให้มีความพากเพียรและตั้งใจทำต่อไป วันนี้อาจจะไม่มีใครเห็นใจหรือช่วยเหลือคุณแต่วันนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปจะอีก 5-10 ปีข้างหน้าหลายๆอย่างอาจจะเปลี่ยนไปจนคุณอาจจะประหลาดใจว่า คุณมาไกลถึงเพียงนี้แล้วหร๋อ นั่นก็เป็นเพราะความตั้งใจและความเพียรที่คุณได้พยายามที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นฝังอยู่ภายใต้จิตสำนึก ซึ่งจะมีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีจิตใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี๋ยวพอที่จะยืนยันที่จะมีอุดมการณ์ในการพัฒนาตัวเองให้มีความก้าวหน้าทั้งในสายงานและอาชีพ ไม่แน่อาจจะมีคนเฝ้ามองคุณอยู่ก็ได้
    แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมได้ค้นพบว่าสิ่งที่ทำให้คนจนกับคนรวยต่างกันนั้นมีอยู่เพียงสิ่งเดียวที่เราจะต้องเพียรพยายามในการทำให้เกิดความเคยชิน สิ่งนั้นคือ ความขยัน หลายๆ คนอาจจะบอกว่าแหมก็แน่อยู่แล้วน่ะ ก็จริงแต่จะมีซักกี่คนที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงและทำให้ถูกต้อง ผมจะเปรียบเทียบให้เห็นว่า ความขยันที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง
    คนรวยนั้น ขยัน....
  • ตื่นแต่เช้า
  • ทำความสะอาดร่างกายและจิตใจ
  • กินอาหารเช้า   
  • ทำงานแต่เช้า
  • อ่านหนังสือ
  • พบเจอผู้คนดีๆ
  • หาของกินดีๆบำรุงร่างกาย
  • ออกกำลังกายเพื่อรักษาสุขภาพ
  • ทบทวนที่สิ่งทำมาตลอดทั้งวัน
  • หาความสุขใส่ตัว
  • ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ที่สวยงาม
  • แบ่งปันความรู้สึกดีให้กับคนอื่นๆ
  • ช่วยเหลือคนอื่นที่ด้อยกว่าตนทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
  • ผักผ่อนให้เพียงพอ
  • มองโลกอย่ามีความหวังและความฝัน
ขอให้ทุกคนโชคดีและทำตามความฝันสูงสุดที่ตั้งใจครับ