Tuesday, October 16, 2012

หนังสือแนะนำเดือนนี้

ติดปีกให้ธุรกิจ พิชิตต้นทุน ด้วยเครื่องมือไอทีสุดล้ำ!! พลิกโฉมการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย ให้กับธุรกิจด้วยชุดเครื่องมือบนอินเทอร์เน็ตสุดล้ำที่้ใช้ง่าย อธิบายตั้งแต่เริ่มต้น พร้อมตัวอย่างจริง สร้างความเป็นต่อให้กับองค์กรของคุณ ราคา 169 บาท น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจที่จะเพิ่มทักษะในการใช้งาน Google Apps จากสำนักพิมพ์  Dream & Passion



Wednesday, October 10, 2012

ลูกผู้ชายตัวจริง - II

ความเดิมจากตอนที่แล้ว ลูกผู้ชายตัวจริง - I หลังจากเรียนจบ ม.3 ผมเองก็เลือกศึกษาด้านวิชาชีพ เพราะเรียนไม่ค่อยเก่งด้านคำนวณ และก็คิดว่าอย่างน้อยจบมาก็มีอาชีพติดตัว ขณะศึกษาอยู่ความเป็นผู้ชายมันก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น หลังจากคิดอยู่นาน : ) ได้รู้จักสังคมที่กว้างกว่าที่เคยรู้จักมา ในชุมชนเดียวกับที่เราอาศัยอยู่ ทำให้ได้เห็นความแตกต่างของความคิด การใช้ชีวิตของเพื่อนๆ กลุ่มใหม่ๆ ที่ต้องเดินทางจากบ้านต่างอำเภอรอบนอก เพื่อเข้ามาศึกษาวีชาชีพในตัวอำเภอเมือง เวลาก็ผ่านไป เพื่อนๆและน้องๆ ในชุมชนที่เราอาศัยอยู่ก็เริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ เพราะว่าเราเริ่มมีสังคมที่แตกต่างกันขึ้นเรื่อยๆ
             แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ผมกลับมาจากเรียนภาคค่ำ เห็นรถตำรวจและคนในชุมชน กำลังเข้าไปในซอยบ้านของเปี๊ยก ขณะนั้นเปี๊ยกน่าจะกำลังศึกษาอยู่ระหว่าง ม.ต้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เปี๊ยกใช้มีดปักไว้ที่ประตูห้องน้ำ แล้วกระโดดเข้าไปให้มีดปักที่คอ เสียชีวิตจมกองเลือดในบ้าน!!! ทุกคนช็อคไม่เชื่อว่า เกิดอะไรขึ้นกับเปี๊ยก ผมเองก็ถึงขั้นเข่าอ่อน เมื่อเห็นกองเลือดเยอะขนาดนั้น จนไม่กล้าเข้าไปดูศพ ใจหายวูบและคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเปี๊ยก ผมอาจจะไม่ค่อยสนิทแต่ก็พอจะมองเห็นว่าเปี๊ยกนั้นก็เป็นเด็กฉลาด เรียนเก่ง เล่นกีฬาก็ดี แต่....
        สิ่งหนึ่งที่เปี๊ยกต่างจากคนอื่นคือ เค้าดมกาวอยู่ช่วงหนึ่งเท่าที่ผมจำได้ เค้ามีอาการหลอน บางครั้งก็เดินยิ้มอยู่คนเดียว ไม่มีใครอยากยุ่ง เพราะรู้ว่า เปี๊ยกเป็นคนอารมณ์ร้อน จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม บ้านเปี๊ยกนั้นอยู่ใกล้บ้านอุเทนและแจ็ค ผมมีโอกาศได้คุยกับพ่อของเปี๊ยกหลังจากทำงานแล้วบ้าง แต่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ จากที่สังเกตุจะเห็นได้ว่า พ่อเปี๊ยกนั้นเป็นคนค่อนข้างมีความคิดรุนแรง เจ้าระเบียบ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ก็ไม่ใช่คนขี้เหล้าเมายา เปี๊ยกนั้นเป็นลูกชายคนเดียว เค้ามีพี่สาวอีกสองคน อีกสิ่งหนึ่งที่จำได้ว่า สมัยนั้นกีฬาฟุตบอล เด็กผู้ชายทุกๆคนก็คงจะชอบที่จะได้แตะเล่นร่วมกับเพื่อนๆ บางครั้งก็มีการเตะเข้าประตูเพื่อการพนันด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งกลุ่มเด็กๆ วัยรุ่นได้มีการแตะฟุตบอลระหว่างชุมชน เปี๊ยกนั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าทีม เพราะว่าเป็นคนที่มีทักษะและฝีเท้าที่ดีมากคนนึง แต่สิ่งที่ผมจำได้ในการแข่งขั้นครั้งนั้น ด้วยความเลือดร้อนของเด็กผู้ชายวัยรุ่น เวลารวมตัวกันมันก็จะมีอารมร์ร่วมกันในการทำกิจกรรมอะไรบางอย่าง เช่นการเตะฟุตบอลแข่งกับทีมคู่แข่ง ซึ่งรางวัลของการแข่งขันในสมัยนั้นก็คือ เงินจากการรวบรวมกันเองหรือมีผู้ใหญ่บางคนมานั่งเชียร์แล้วก็เอาผลการแข่งขันมาใช้เล่นการพนัน เมื่อมีการแข่งขันและผลตอบแทนเห็นเป็นตัวเงิน ซึ่งสมัยนั้นเงิน 2-3 พันบาทสูงมากๆ จึงทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรมบ้าง เพราะไม่มีกรรมการเป็นเรื่องเป็นราว ที่จะเข้ามาตัดสินหรือควบคุมการแข่งขันให้ถูกต้องตามกติกาให้มากที่สุด เพราะฉะนั้นการปะทะกันของเด็กวัยรุ่นจึงเกิดขึ้นและก็ทำให้เกิดการตัดสินให้มีการยิงจุดโทษ จะเห็นได้ว่า เรื่องเหล่านี้ก็อาจจะเป็นสาเหตุของการทะเลาะวิวาทของเด็กผู้ชายเมื่อรวมตัวกันกลุ่มใหญ่ๆ เหมือนที่เค้าเรียกกันว่า "นักเรียนนักเลง" ผมเห็นเปี๊ยกวิ่งไปที่ประตูแล้วก้มไปหยิบของบางอย่างขึ้นมา มันคือมีดปลายแหลมสั้น แล้วชักออกมา พยายามจะเข้ามาทำร้ายคู่แข่ง ที่กำลังจะทำประตู โชคดีที่เหตุการณ์ครั้งไม่มีใครต้องเสียเลือดเสียเนื้อ เพราะผู้ใหญ้ได้เข้ามาห้ามและยุติการแข่งขัน ผมเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นยังจำได้ ว่าใจมันเต้นแรงมากตอนที่กำลังจะเกิดเรื่องเพราะว่า เด็กผู้ชายในช่วงอายุประมาณ 13-15 ปีกำลังจะก้าวไปเป็นเด็กหนุ่มนั้น มันก็จะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ถ้าใครสามารถเลือกเดินทางที่ถูกต้องในช่วงเวลาดังกล่าว มันก็จะเหมือนทางเลือกของทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ ผมเองไม่อยากมีตราบาปหรือได้ชื่อว่า เป็นนักเรียนนักเลง หรือชกต่อยมีเรื่องกับเด็กวัยรุ่นด้วยกัน เพราะว่าถ้าคุณมีครั้งแรกแล้วคุณรู้สึกว่าคุณก็เจ๋ง คุณจะไม่กลัวใครอีกเลยที่ดาหน้าเข้ามาหาคุณ เพราะฉะนั้นอุทาหรณ์ของเปี๊ยกน่าจะเป็นสิ่งที่คนในครอบครัว น่าจะให้ความรักความอบอุ่น จากพ่อถึงลูกชาย รวมถึงความเข้าอกเข้าใจในปัญหาของเด็ก รวมถึงสังคมรอบๆตัวเค้าด้วย ไม่มีใครรู้หรอกว่าบางครั้งการกอดของพ่อหรือแม่ให้กับลูกนั้น ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้หญิงหรือผู้ชายก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ความอบอุ่นในจิตใจนั้นสำคัญมากสำหรับเด็กๆ หรือแม้กระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม

ปล. * บุคคลที่กล่าวถึงในบทความนี้ มีตัวตนจริง ถ้าพาดพิงใน่ส่วนไม่ดีต้องขออภัย บางคนไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วต้องขออนุญาติ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนรุ่นหลัง *

Monday, October 8, 2012

ลูกผู้ชายตัวจริง - I

          หลายๆ คนคงจะนึกถึงผู้ชายแมนๆ กล้ามโตๆ หรืออาจจะเป็นภาพของนักเรียนนักเลงก็ได้ ผมจะเล่าให้ฟังว่าลูกผู้ชายตัวจริงของผม  ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนั้นเป็นแบบไหน ชีวิตของเด็กต่างจังหวัด  มันก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่า  การวิ่งเล่นตามท้องทุ่งนา หรือเตะฟุตบอลพลาสติก เล่นกันตามชุมชนต่างๆ ของแต่ละพื้นที่ เด็กผู้ชายเวลารวมตัวกัน มันก็มักจะเล่นอะไรแผลงๆ ไปตามเรื่อง อุเทนเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันเป็นพี่น้องกับแจ็ค เป็ดเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับเปี๊ยก แจ็ค และตี๋ พวกเราก็เป็นเด็กผู้ชายเหมือนทั่วๆไป ชกต่อยกันบ้างเป็นเรื่องปรกติ บางคนก็ร้องไห้เพราะมันเจ็บอย่างผม บางคนก็ไม่เคยร้องซักกะแอะ ทะเลาะได้กับทุกคน ทุกรุ่นไม่เคยกลัวใคร พวกเราก็โตมาอยู่ในชุมชนเดียวกัน พอเริ่มโตขึ้นบางคนก็เลิกเรียนต่อ บางคนก็ได้มีโอกาศเรียนต่อ ในช่วงอายุ 11-12 ปีก็น่าจะเป็นช่วงรอยต่อของชีวิตเด็กผู้ชายที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปสู่วัยรุ่น เสียงก็เริ่มแตก นมก็เริ่มโต อะไรๆ มันก็เริ่มโตขึ้น
ผมมีโอกาศได้เรียนต่อชั้นมัธยม 1-3 ระหว่างที่เรียนนั้น เพื่อนๆ น้องๆ คนอื่นๆ ก็ได้เรียนบ้าง ไม่เรียนบ้าง มาดูชีวิตแต่ละคน

  • อุเทน เป็นพี่แจ็ค จริงๆ มีพี่ชายอีกคนแต่เรายังไม่พูดถึง เป็นสามพี่น้องชายที่แก่นเฟี๊ยว ซ่า ชกต่อยไม่เคยเลือก ไม่เคยกลัวใคร ในชุมชน
  • อุเทนไม่ได้เรียนต่อ จบแค่ ป. 6 หลังจากนั้นเตร็ดเตร่ไปเรื่อง พ่อแม่ก็ทำงานหนักคงไม่มีเวลาได้อบรมสั่งสอน หรือตักเตือน กลับมองว่าเด็กผู้ชาย ชกต่อยกันมันก้เป็นเรื่องที่ดี มันจะได้ไม่เป็นคนขี้กลัวเหมือนผม :(
  • เป็ดก็เรียนอยู่ชั้นประถม ไม่ได้แก่นเฟี๊ยว แต่เป็นลูกชายคนเดียวในพี่น้องสามคน บ้านค้าขายของชำ เงินก็หยิบใช้ง่าย
  • แจ็คน้องชายอุเทนก็เหมือนพี่ชาย แต่เพราะว่าพี่ชายทั้งสองคนเล่นบทโหดอยู่แล้ว เลยไม่อยากแสดงบทซ้ำ ก็เลยยังพอคุยกันได้บ้าง
  • เปี๊ยก บ้านอยู่ในซอย ฉลาด ตัวเล็ก เตะบอลเก่ง ลูกชายคนเดียว มีพี่สาวสองคน ไม่กลัวใครเหมือนกัน
  • ตี๋ เมื่อก่อนหนังเรื่องตี๋ใหญ่ดังมาก เค้าบอกว่า "ไอ้ตี๋.....อย่าทำให้ใครเดือดร้อน" มีพี่ชายอีกคนเพื่อนรุ่นเดียวกับผม
        ทุกๆ อย่างก็เดินทางของมันไปตามกาลเวลา เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ทุกคนก็เริ่มเป็นหนุ่มน้อย กร้านโลกขึ้นเรื่อยๆ ตามประสพการณ์ชีวิต ที่ผ่านเข้ามา สมัยนั้น ยาบ้ายังไม่มีหรอก อย่างมากก็ ดมกาว ดมแล็กซ์ ถือถุงพลาสติกเดินไปเดินมา อยู่ตามซอกตึกบ้าง แต่ผมไม่ยุ่งและไม่อยากลอง เพราะเห็นสภาพแต่ละคน มันก็เหมือนคนเมากัญชา พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง อารมณ์เกรี้ยวกราด ไม่ค่อยมีใครอยากยุ่ง พ่อแม่ก็ทำงานกันไม่มีเวลามาดูแลลูก



ปล. * บุคคลที่กล่าวถึงในบทความนี้ มีตัวตนจริง ถ้าพาดพิงใน่ส่วนไม่ดีต้องขออภัย บางคนไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้วต้องขออนุญาติ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนรุ่นหลัง *

Sunday, October 7, 2012

โรคซึมเศร้า ภัยร้ายใกล้ๆ ตัวคุณ - I

หลายๆ คนคงจะได้เคยได้ยินหรือรู้จักโรคนี้กันมาบ้าง ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า จริงๆ แล้วโรคนี้ก็คือ โรคที่เกี่ยวข้องกับสภาวะทางจิตใจ สภาวะความคิด ความรู้สึกที่มันหดหู่ ตกต่ำ คิดวนเวียนแต่เรื่องเดิม มีความวิตก เครียด หาทางออกไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิต บางครั้งมันก็จะส่งผลต่อเนื่องไปยังสภาวะทางร่างกายต่อมา เช่น ปวดหัว ปวดเมื้อย ปวดหลัง ความดัน รวมถึงมะเร็ง เหมือนที่มีคนเคยบอกว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว"
หลายๆ คนยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ ผมจะบอกว่า มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คนในโลกนี้ รวมถึงพวกคุณที่กำลังอ่านอยู่นี่ด้วย ผู้ป่วยโรคนี้จริงๆ แล้วยังสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปรกติ สามารถเดินทางไปทำงาน หรือเที่ยวสนุกได้ตามปรกติ แต่เมื่อวันเวลาและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม อาการต่างๆ จะค่อยๆ ก่อตัวและสะสมที่ละเล็กละน้อย จนทำให้แม้แต่ตัวเราเองนั้น ก็ไม่ทันได้ระมัดระวัง จนถึงจุดอิ่มตัวแล้วคุณอาจจะไม่เชื่อว่า แค่จุดกำเนิดหรือต้นตอของปัญหาเพียงเท่านั้นจะสามารถฉุดคราชีวิตของคนๆ หนึ่งซึ่งอาจจะเป็นคนที่เรารู้จัก คนที่เรารักหรือคนใกล้ตัว ที่ไม่มีใครเชื่อได้ว่า วันหนึ่งเค้าจะสามารถเป็นไปได้ถึงเพียงนี้หรือ อีกข้อที่สำคัญ โรคนี้เป็นโรคที่สามารถสืบทอดผ่านกรรมพันธ์ได้ด้วย นั้นหมายความว่า ถ้าในครอบครัวคุณหรือญาติ เคยมีผู้ป่วยโรคนี้ คุณก็อาจจะเข้าข่ายความเสี่ยงจากโรคนี้ได้

ปล. ข่าวดีโรคนี้สามารถรักษาให้หายขาด ได้ด้วยการพบจิตแพทย์และทานยา หรือไม่ต้องใช้ยาเลย หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จากคนที่รู้และเข้าใจ

Saturday, October 6, 2012

กว่าจะรู้ค่าของสิ่งที่มีอยู่ก็สูญเสียมันไปแล้ว

ในชีวิตคนเรามีหลายๆสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ความคิดความรู้สึกก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เหตุการณ์ต่างๆ ทั้งดีและร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็แตกต่างกันไป เค้าถึงเรียกว่า ประสพการณ์ชีวิตของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน แม้เรื่องราวจะคล้ายกันก็ตาม จะมีรายละเอียดทางด้านอารมณ์และความรู้สึก ทำให้เราโต้ตอบตอบกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาในชีวิต ไม่เหมือนหรือแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

บางครั้งเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นอาจจะใช้เวลาเพียงน้อยนิด แต่ความรู้สึกดีนั้นมันอยู่นานยิ่งกว่า แต่พอมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นแล้ว ความรู้สึกดีๆที่ผ่านมานั้นมันจะหายหรือลดลงไปอย่างน่าใจหาย ซึ่งมันก็เกิดจากความรู้สึกนึกคิดของเรานั่นเอง คงไม่มีใครที่สามารถเลือกที่จะมีแต่เรื่องดีๆ คนดีๆ เข้ามาในชีวิตของเราได้ทั้งหมดหรอก บางครั้งมันก็จะต้องมีเรื่องไม่ดี เหตุการณ์ คนที่เรารู้จัก ทำงานด้วยที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีได้ จากทั้งหมดก็จะเห็นว่า มันอยู่ที่เราเข้าใจกับเรื่องราวต่างๆ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมากแค่ไหน

เหมือนกับเวลาที่เรามองลงไปบนกระดาษสีขาวซักแผ่น หลายๆ คนก็มักจะชอบมองหาแต่จุดดำ หรืออะไรก็แล้วแต่เล็กๆ บนกระดาษนั้น นั่นก็ทำให้เราเห็นได้ว่า เรานั้นมักจะคอยมองหาแต่ข้อเสียหรือข้อไม่ดี จากสิ่งที่เรามองเห็น ทั้งๆที่ กระดาษสีขาวนั้นมีพื้นที่ใหญ่กว่ามาก แต่ไม่มีอะไรให้เรา สนใจ หรือหาเรื่องพูดถึงได้ นั้นจึงเป็นที่มาของเรา ที่เราก็มักจะหยิบเอาเรื่องหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นจุดดำเล็กๆ ของชีวิต ขึ้นมาเพื่อทำร้ายชีวิตเราเอง หรือจมอยู่กับแต่ความคิดลบๆ โกรธ โมโห เกลียด คนที่เข้ามาแล้วทำให้เราขุ่นข้องหมองใจ ทั้งการการกระทำและคำพูด

บางครั้งคนดีๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรานั้น อาจจะมีเวลาได้คุยกับเค้าเพียงเสี้ยวนาทีของชีวิตที่ผ่านมา แต่มันทำให้เกิดความรู้สึกอิบเอิบใจไปนานแสนนาน จะมีซักกี่คนที่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้เพื่อเก็บเป็นกำลังให้เราได้คิดถึงในวันเวลาที่ผ่านไป เมื่อเราต้องไปเจอ หรือต้องข้องเกี่ยวกับคนร้ายๆ เราจะได้มีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ เพื่อให้ได้เจอคนดีๆ คนนั้นแบบนั้นอีกซักครั้งในชีวิต

"เปลี่ยนความคิด..ชีวิตเปลี่ยน" ทำยากน่ะ ถ้าจิตใจคุณไม่ดีพอก็อย่าไปอ่านมากนักหนังสือพวกนี้ เพราะมันสามารถที่จะกลับย้อนเข้ามาทำร้ายความรู้สึกของคุณได้ ถ้าคุณไปเจอ เนื้อหาหรือเรื่องบางเรื่องที่คุณผ่านมาเอง ต่อให้ทำอย่างไรคุณก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดไปแล้ว คุณจะไม่กลับไปอ่านมันอีกเลยเชื่อผม เพราะคุณจะรู้สึกว่า คุณเป็นคนที่ดีไม่พอที่จะเปลี่ยนชีวิต

เป็นกำลังใจให้คนที่กำลังมองโลกเป็นสีเทา โลกจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่คนมอง แต่....คนมองนั้นผ่านเรื่องราวอะไรในชีวิตมาบ้างก็อาจจะทำให้โลกของเค้านั้นแต่ต่างกันไป.

Wednesday, October 3, 2012

วิธีลดความอ้วนให้ได้ผล

หลายๆ คน คงจะมีวิธีหลากหลายวิธี อดอาหารบ้าง ออกกำลังกายบ้าง ทานยาบ้าง อย่างนั้นลองมาทำความเข้าใจว่า แล้วเราอ้วนได้อย่างไร


  • กรรมพันธ์   อันนี้แก้ยากหน่อยเพราะไม่รู้จะแก้ยังไง
  • ความเครียด   อันนี้คุณอาจจะไม่เชื่อ ลองมาดูเหตุผลกัน ความเครียดที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องทำงานแล้วเครียด บางทีก็อาจจะเกิดจากเรื่องราวที่เกิดในชีวิตคนเราที่เข้ามากระทบไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก อกหักรักคุด อันนี้ไม่เชื่อต้องลองพิสูจน์ดู :)  คราวนี้มาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
    • เวลาสมองเกิดความเครียดมันจะหลังสารอะไรบางอย่างไม่รู้ รู้แต่ว่ามันทำให้ไปกดระบบการทำงานบางอย่างทำให้ระบบโดยรวมมีการเปลี่ยนแปลงแล้วทำงานไม่ปรกติ
    • ธรรมชาติของมนุษย์นั้นชอบความสุขและหาความสุขใส่ตัว ความสุขของมนุษย์ก็มีหลากหลาย เช่น การกิน การนอน การขับถ่าย การดูหนังฟังเพลง ออกไปเที่ยว ช๊อปปิ้ง อื่นๆอีก แต่ดูแล้วเหมือนมนุษย์จะมีความต้องการความสุขทางกายมากกว่าทางใจ
    • เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า เวลาที่เราเครียดหรือมีความกังวล เราจะพยายามหาทางออก หรือหาความสุขให้ได้เร็วที่สุด เหมือนที่สาวๆ จะบอกว่าช้อปปิ้งแล้วหายเครียด เพราะฉะนั้นการหาของกินอร่อยๆ ก็ดูจะเป็นอีกหนึ่งทางออกที่หาได้ง่ายและตอบสนองความสุขทางกายได้มีประสิทธิภาพสูงสุด
    • จากนั้นก็จะเริ่มกิน พออิ่มความเครียดหรือความกังวลต่างๆก็จะลดลง จึงค้นพบว่าคราวหน้าถ้าเครียดก็หาอะไรๆกินเข้าไปดีกว่า แต่....ส่วนใหญ่แล้วคนที่เครียดนั้น เวลากินแล้วจะพยายามให้ตัวเองรู้สึกอิ่มหรืออร่อยให้เร็วที่สุด ก็จะพยายามกินเข้าไปให้ได้มากที่สุด
    • อีกสาเหตุสำคัญคือเวลาเครียด คนเรามักจะขาดสติ ยั้งคิด จึงเลยเถิด และสะสมไขมันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว แถมยังเข้าข้างตัวเองด้วยว่า ไม่เห็นอ้วนเลยก็ยังดูดี สวย หล่ออยู่ เพราะขาดสติ : )
จากเหตุผลที่กล่าวข้างต้นมาทั้งหมด ก็พอจะมองเห็นปัญหาแล้วว่า อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของความอ้วน คราวนี้เราจะมาดูกันว่าเราจะลดมันได้อย่างไรดี
  • ลดความเครียดลง ก็จะเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้ แต่ทำยากมาก
  • ลองเลือกช่วงเวลาในการลดความอ้วนดูใหม่ เช่น ลองลดน้ำหนัดช่วงเวลาที่เรามีความสุขสงบ หรือมีความรักดู  เพราะตอนนั้นเราจะมีความสุข บางครั้งข้าวปลาก็ไม่อยากกิน เพราะมันอิ่มอกอิ่มใจ และความรักก็ยังทำให้เรารักและดูแลตัวเอง เพื่อให้ดูดีกับคนอื่นๆ
ไม่รู้ว่าจะช่วยได้แค่ไหน แต่ก็ขอเป็นกำลังใจให้หลายๆคนที่กำลังอยากจะลดความอ้วนดู : )